วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

If you Have a Printer , You’ll Love Free Printables!

Maybe you haven't heard about free printables. They are a great resource
for free stuff that you can print from your own computer. There are free
printables available for everything from birthday party invitations and
greeting cards to cute crafts and other fun stuff that will help you keep
the kids busy!

Free printables also make Mom's life easier. Need a last minute birthday
card? No problem. Would you like to make up your own party favors or
shower games? Start printing. You can even find cute scrapbooking ideas,
party sets, and holiday items.

There's no limit to what you can do and how much fun you and your kids can
have, and the best part is that it's all free. You are not going to find a
better deal than free printables, so go ahead, start printing right away!

Here are some great ways to use free printables:

*Create an entire birthday part from invitations to treat bags.

*Throw a shower and print your own invitations, games, and thank you notes.

*Find festive free printables to make every holiday gathering more special.

*Dress up an anniversary party with personalized party favors.

*Add interest to your scrapbook pages or keepsake albums that hold school
certificates, class pictures, report cards, and award ribbons.

What could be better than having fun and saving money all at the same time?

Some great free printable sites are Moms Break http://www.momsbreak.com,
The Craft Cafe http://thecraftcafe.com and Best Baby Shower Cards
http://bestbabyshowercards.com.Find printables on search engines by using
keywords "free printables" or free printable combine with the keywords
describing the type of free printables you are looking for.

http://printablecouponkidssticker.printableassociate.info/
http://kidsprintableinvitations.printableassociate.info/
http://printablecouponcardcolor.printableassociate.info/
http://printablecardscalendarsheet.printableassociate.info/
http://princesscalendargradechart.printableassociate.info/
http://princesspapertemplateschecklist.printableassociate.info/
http://calendartemplateinvitationplanner.printableassociate.info/
http://printinvitationscolored.printableassociate.info/
http://kidscouponsprintablecardhomework.printableassociate.info/
http://bookplatesworksheetmathprintable.printableassociate.info/

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"โค้ก" สังหารสเปิร์มพร้อมงานวิจัยค้าน ร่วมรับ "อิกโนเบล" 2008

วิ ลเลียม ลิปส์คอมบ์ (William Lipscomb) และ เบนอยท์ แมนเดลบรอท (Benoit Mandelbrot) เจ้าของรางวัลโนเบล (ของจริง) ดื่ม "โค้ก" ฉลองให้กับผู้ได้รับอิกโนเบลสาขาเคมีซึ่งค้นพบว่า "โค้ก" ฆ่าสเปิร์มได้และไม่ได้ (เอ๊ะ ?!?)

โทชิยูกิ นากากากิ และผองเพื่อนผู้ได้รับอิกโนเบลสาขาปริชานศาสตร์ ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในเวอร์ชันร้องรำทำเพลง (ภาพเอพี)

แดน เมเยอร์ (Dan Meyer) เจ้าของอิกโนเบลปีก่อน ขึ้นแสดงกลืนดาบโชว์บนเวทีอีกครั้ง (ภาพเอพี)

น้องหมาก็ร่วมโชว์บนเวทีด้วย (ภาพเอพี)

โล่รางวัลอิกโนเบลปีนี้สอดรับหัวข้อความซับซ้อน ด้วยป้ายประกาศเกียรติคุณที่มีข้อความความหมายเดียวกันถึง 3 ป้าย (อิกโนเบล)

ขำกันได้อีกกับงานวิจัยชวนขบขันเข้าขั้น "อิกโนเบล" ปีนี้ขนขบวนผลงานฮาๆ มาอีกแล้ว ทั้ง "โค้ก" คือยาพิษสังหารสเปิร์ม หรือการกินอร่อยขึ้นถ้าเสียงเคี้ยวฟังเข้าท่า แม้แต่นักฟิสิกส์ที่พบว่าอะไรก็ตามที่ยุ่งเหยิงก็จะยุ่งเหยิง และความพยายามพิสูจน์กว่า "หมัดน้องหมา"กระโดดได้ไกลกว่า "หมัดน้องเหมียว"

เป็นธรรมเนียมว่าก่อนประกาศรางวัลโนเบลในแต่ละปี เราต้องได้ "ฮา" กันก่อนกับงานวิจัยที่ไม่สามารถทำกันได้ง่ายๆ "อิกโนเบล" (IgNobel Prizes) ซึ่งมอบให้โดยคณะกรรมการวิจัยที่ไม่น่าจะลอกเลียนแบบได้ประจำปี (Annals of Improbable Research) เป็นประจำทุกปีมาได้ 18 ปีแล้ว

การมอบรางวัลประจำปี 2551 นี้ จัดพิธีขึ้นในเช้าวันที่ 3 ต.ค.ตามเวลาเมืองไทย ณ โรงละครแซนเดอร์ ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ที่ประจำสำหรับประกาศรางวัลงานวิจัย "แบบฮาๆ" โดยมีนักวิจัยระดับรางวัลโนเบล (ของจริง) เป็นผู้มอบรางวัล ท่ามกลางผู้เข้าร่วมพิธีที่จำกัดแค่ 1,200 คนเท่านั้น และผลงานชวนฮาประจำปีนี้ได้แก่...

@ "โค้ก" เครื่องดื่มสังหาร "สเปิร์ม" ได้ เอ๊ะ!...หรือว่าไม่?
เดบอราห์ แอนเดอร์สัน (Deborah Anderson) จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยบอสตัน (Boston University Medical Center) สหรัฐฯ และคณะได้รับรางวัลในสาขาเคมี จากการพิสูจน์ว่าโคคา-โคลา (Coca-Cola) หรือโค้ก (Coke) ฆ่าสเปิร์มหรืออสุจิได้

เธอตีพิมพ์งานวิจัยดังกล่าวในวารสารนิวอิงแลนด์เจอร์นัลออฟเมดิซีน (New England Journal of Medicine) เมื่อปี 2528 โดยรายเตอร์บอกว่า เธอจริงจังกับการศึกษาผลของน้ำอัดลมนี้มาก เพราะเห็นว่าผู้หญิงส่วนหนึ่งใช้เครื่องดื่มนี้ไปในการฉีดล้างร่างกายเพื่อ คุมกำเนิด และยังใช้เพื่อป้องกันตัวเองจากไวรัสเอดส์

" เห็นชัดเจนว่ามันไม่เวิร์คที่จะใช้เป็นยาคุมกำเนิดเพราะสเปิร์มว่ายได้เร็ว มาก แต่โค้กที่มีน้ำตาลผสมอยู่นั้นฆ่าสเปิร์มได้ ซึ่งเป็นเช่นนี้อาจเพราะเจ้าตัวจิ๋วดูดซึมโค้กไว้ และเครื่องดื่มน้ำดำนี้ก็ยังฆ่าไวรัสเอดส์ได้ด้วย" แอนเดอร์สันสรุป

แต่รางวัลนี้ก็ยังมอบให้กับ ชวง-เย ฮง (Chuang-Ye Hong) ซี ซี เซียะ (C.C. Shieh) พี วู (P. Wu) และบี เอ็น เซียง (B.N. Chiang) จากมหาวิทยาลัยการแพทย์ไต้หวัน ที่พิสูจน์ว่าโค้กฆ่าสเปิร์มไม่ได้ ?!?

@ เคี้ยวให้ดัง "มันฝรั่งแผ่น" อร่อยขึ้นทันใด
คณะกรรมการอิกโนเบลมีมติให้รางวัลสาขาโภชนาการตก เป็นของ แมสซิมิเลียโน แซมปินี (Massimiliano Zampini) จากมหาวิทยาลัยเทรนโต (University of Trento) อิตาลี และชาร์ล สเปนซ์ (Charles Spence) จากมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด (Oxford University) แห่งอังกฤษ ซึ่งให้เคล็ดลับแก่คนกินมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบให้อร่อยว่า ต้องเคี้ยวให้ดัง เพราะช่วยให้คนกินอยู่รู้สึกอร่อยขึ้น และเชื่อว่ามันฝรั่งที่กินอยู่ "สด" และ "กรอบ" กว่าที่เป็นจริง - -"

@ เมื่อใจคาดหวัง-สมองก็สั่งการ
สาขาการแพทย์ตก เป็นของแดน อารีลีย์ (Dan Ariely) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยดุค (Duke University) สหรัฐฯ ที่พบว่า ยาหลอกราคาแพงนั้นให้ผลดีกว่ายาหลอกราคาถูก โดยการทดสอบให้อาสาสมัครทดลองใช้ยาหลอกที่อ้างว่าเป็นยาแก้ปวด โดยยากลุ่มหนึ่งหลอกว่าเป็นยาราคาแพง ส่วนยาอีกกลุ่มหลอกว่าเป็นยาราคาถูก แต่ทั้งหมดได้รับการบำบัดด้วยวิธีนวดไฟฟ้า

"เมื่อคุณคาดหวังว่าบางสิ่งจะเกิดขึ้น สมองคุณก็จะทำให้มันเกิด" อารีลีย์กล่าว

นอกจากนี้ยังมีอิกโนเบลสาขาอื่นๆ ซึ่งปีนี้ไม่มีรางวัลสาขาอากาศยานเหมือนปีก่อน แต่มีสาขาโบราณคดี เพิ่มเข้ามา โดยมอบให้กับ เมลโล อารัวโจ (Mello Araujo) ศาสตราจารย์สถาปนิกพร้อมด้วยคณะ จากมหาวิทยาลัยเซาเปาโล (University of Sao Paulo) บราซิล ซึ่งพบว่าตัวนิ่มสามารถเคลื่อนย้ายโบราณวัตถุ ในบริเวณที่มีการขุดพบด้านโบราณคดีเป็นระยะทางหลายได้เมตร

สาขาชีววิทยาให้ กับงานวิจัยของ 3 นักวิทยาศาสตร์แดนน้ำหอม มารี-คริสไทน์ คาดิเยกูส์ (Marie-Christine Cadiergues) คริสเทล จูเบิร์ต (Christel Joubert) มิเชล แฟรงก์ (Michel Franc) จากมหาวิทยาลัยสัตวแพทย์แห่งฝรั่งเศส (National Veterinary College) ในตูลูส ซึ่งพบว่า หมัดบนตัว "น้องหมา" กระโดดได้ไกลกว่าหมัดบนตัว "น้องแมวเหมียว" โดยเฉลี่ยถึง 20 เซนติเมตร

การค้นพบว่าอะไรที่ยุ่งเหยิงมักจะยุ่งเหยิงของ ดอเรียน เรย์เมอร์ (Dorian Raymer) และ ดักลาส สมิธ (Douglas Smith) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานดิเอโก (University of California at San Diego) สหรัฐฯ ทำให้คณะกรรมอิกโนเบลมอบรางวัลสาขาฟิสิกส์แก่ทั้งสอง

เรย์มอร์และสมิธใช้คณิตศาสตร์พิสูจน์ว่า กองเส้นเชือก เส้นผมหรือสิ่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกันนี้ จะยุ่งเหยิงอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้ และที่สุดจะพันกันจนกลายเป็นปม โดยมีชื่องานวิจัยที่เก๋ไก๋ว่า "เงื่อนธรรมชาติของเส้นเชือกที่ยุ่งเหยิง" (spontaneous knotting of an agitated string)

ยังมีอิกโนเบลในสาขาปริชานศาสตร์ ตกเป็นของโทชิยูกิ นากากากิ (Toshiyuki Nakagaki) ฮิโรยาซุ ยามาดะ (Hiroyasu Yamada) เรียว โกบายาชิ (Ryo Kobayashi) อาซูชิ เทโร (Atsushi Tero) อากิโอ อิชิกุโร (Akio Ishiguro) และอาโกตะ โทธ (Agota Toth) จากมาหวิทยาลัยฮอกไกโด (Hokkaido University) ญี่ปุ่น ที่ค้นพบว่า ราเมือก (slime mold) สามารถแก้ปัญหาที่ยากลำบากได้

สาขาสันติภาพมอบ ให้แก่ คณะกรรมการจริยธรรมสหพันธ์สวิสด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ไม่เกี่ยวข้องกับ มนุษย์ (The Swiss Federal Ethics Committee on Non-Human Biotechnology) และพลเมืองในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งลงมติในหลักการทางกฎหมายว่าพืชก็มีคุณธรรมและศักดิ์ศรี (นะจ้ะ ^^)
ค้นหาคำอธิบายเรื่องนี้ได้ที่ http://www.ekah.admin.ch/en/topics/dignity-of-creation/index.html.

คณะกรรมการอิกโนเบลยังได้มอบรางวัลสาขาเศรษฐศาสตร์ให้ แก่ เจฟฟรีย์ มิลเลอร์ (Geoffrey Miller) โจชัว ไทเบอร์ (Joshua Tyber) และเบรนท์ จอร์แดน (Brent Jordan) จากมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก (University Of New Mexico) นักเต้นจะมีรายได้มากเมื่ออยู่ในวัยเจริญพันธุ์ และสาขาวรรณกรรมที่ มอบให้กับ เดวิด ซิมส์ (David Sims) สำหรับการศึกษาเรื่อง "ไอ้สารเลว : เล่าขานการสำรวจประสบการณ์ความโกรธเกรี้ยวภายในองค์กร" (You Bastard: A Narrative Exploration of the Experience of Indignation within Organizations)

รางวัลอิกโนเบลตั้งขึ้นเมื่อปี 2534 โดยมาร์ก อับราฮัมส์ (Marc Abrahams) บรรณาธิการนิตยสารทางวิทยาศาสตร์ เขาต้องการมอบรางวัลอิก โนเบลในแต่ละปีให้แก่ผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่ “ไม่สามารถหรือไม่น่าจะลอกเลียนแบบได้” ซึ่งเป็นผลงานที่ตั้งใจวิจัยจริงๆ ไม่ใช่แค่ขำๆ ด้วยความตั้งใจว่า เราขำขันกับงานวิจัยแปลกๆ เพี้ยนๆ แล้วเราก็จะได้คิด

อีกทั้งอับราฮัมส์ตั้งรางวัลนี้ขึ้นมา เพื่อฉายแสงให้กับโครงการวิทยาศาสตร์แปลกๆ ประหลาดที่ถูกโยนทิ้งจากกองบรรณาธิการนิตยสารวิทยาศาสตร์ และงานวิจัยแปลกๆ เหล่านี้อาจสูญหายไปในอนาคต


ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


driving-test
fun-fireworks
aol
hidden-object
christmas-party
makeover
spiderman-3
free-kids
free-printable-board-game
batman

เทปกาวปล่อยรังสีเอกซ์ !!

สก็อตเทปปล่อยลำแสงและรังสีเอกซ์เมื่อถูกแกะออกจากม้วนภายในสุญญากาศ (ภาพเนเจอร์/Carlos Camara, Juan Escobar)

ภาพ ถ่ายนิ้วมือของทีมวิจัยด้วยรังสีเอกซ์ที่ได้จากเทปกาว โดยม้วนสก็อตเทปที่ใช้ทดลองวางอยุ่ในอุปกรณ์สุญญากาศด้านล่างของมือ (ภาพเนเจอร์/Carlos Camara, Juan Escobar, Seth Putterman)

ภาพถ่ายนิ้วมือของทีมวิจัยด้วยรังสีเอกซ์ที่ได้จากเทปกาว (ภาพเอพี/Carlos Camara, Juan Escobar, Seth Putterman)

ภาพการ ทดลองแกะเทปใสในอุปกรณ์สุญญากาศ ซึ่งใช้อุปกรณ์ตรวจจับรังสีเอกซ์สำหรับงานทันตกรรม ตรวจวัดรังสีเอกซ์ที่เกิดขึ้น (ภาพเอพี/Carlos Camara, Juan Escobar, Seth Putterman)

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ แกะสก็อตเทปในสุญญากาศ ได้รังสีเอกซ์ปริมาณมหาศาล และมีความแรงมากพอ ที่จะบันทึกภาพถ่ายเอกซ์เรย์ได้ โดยทีมวิจัยได้ทดสอบกับนิ้วมือของตัวเอง แต่ปรากฏการณ์นี้ เคยพบมาก่อนแล้ว ทั้ง "ฟรานซิส เบคอน" และ นักวิทยาศาสตร์รัสเซียเมื่อ 50 ปีก่อน

"เราแปลกใจกันมาก จากแค่เทปใสธรรมดา เราได้กำลังรังสีปริมาณมากขนาดนี้" เอพีระบุคำพูดของ ฮวน เอสโคบาร์ (Juan Escobar) นักศึกษามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในลอสแองเจลิส (University of California, Los Angeles) หรือยูซีแอลเอ (UCLA) ซึ่งรวมในการศึกษาครั้งนี้

ทั้งนี้ เซธ พัทเทอร์แมน (Seth Putterman) พร้อมคณะจากยูซีแอลเอ ได้ใช้เครื่องยนต์เพื่อคลายม้วนสก็อตเทป และบันทึกการปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยข้อมูลจากนิวไซแอนทิสต์ระบุว่า ทีมวิจัยดึงเทปออกจากม้วนด้วยอัตราเร็ว 3 เซนติเมตรต่อวินาที ทำให้เกิดรังสีเอกซ์ 15 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์ (KeV) และทุกๆ หนึ่งในพันล้านวินาทีจะมีปริมาณโฟตอนออกมา 1 ล้านตัว

ความแรงของรังสีเอกซ์ระดับนี้ เป็นประโยชน์ที่จะใช้เป็นแหล่งกำเนิดในการถ่ายภาพรังสีเอกซ์ ซึ่งในการทดลองนี้ ทีมวิจัยได้ใส่หน้าต่างพลาสติกในช่องสุญญากาศ แล้วสามารถบันทึกภาพรังสีเอกซ์ของนิ้วมือได้ โดยใช้เครื่องตรวจจับรังสีเอกซ์ที่ใช้ในงานทันตกรรม ซึ่งผลจาการศึกษาดังกล่าวได้ตีพิมพ์ลงวารสารเนเจอร์ (Nature)

"พลังงานของรังสีเอกซ์นี้ ทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันได้ หากใช้โมเลกุลแทนอิเล็กตรอน แต่มันก็เป็นเรื่องทางวิศวกรรม ไม่ใช่เรื่องทางฟิสิกส์" พัทเทอร์แมนกล่าวถึงความคิดไปไกล

ด้านเนเจอร์ระบุว่า พลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้น คือการเรืองแสงแบบที่รู้จักกันว่า "ไทรโบลูมิเนสเซนส์" (triboluminescence) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของแสง ที่จะเกิดขึ้นเมื่อของแข็งโดยเฉพาะของแข็งประเภทผลึก ถูกกด ขูด หรือขัด โดยคำอธิบายที่ได้การยอมรับคือ เมื่อผลึกถูกขัดหรือแยกออก กระบวนการที่เกิดขึ้นก็จะแยกประจุตรงกันข้ามออกจากกันด้วย และเมื่อประจุกลับมารวมกันกลายเป็นกลาง จะปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสง

ปรากฏการณ์ ลักษณะนี้ ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) จิตกรชาวอังกฤษเคยสังเกตเห็นเมื่อปี 2148 โดยเขาสังเกตว่า ก้อนน้ำตาลที่ขัดสีกันนั้นได้ปล่อยแสงออกมา

ส่วนปรากฏการณ์เรืองแสงของสก็อตเทปนั้น ทีมนักวิทยาศาสตร์ในรัสเซียเคยสังเกตพบเมื่อปี 2496 ว่าเทปที่ติดอยู่บนแก้วนั้นปลดปล่อยรังสีเอกซ์ได้ แต่ทีมวิจัยของยูซีแอลเอยังคงเคลือบแคลงต่อผลการทดลองดังกล่าว จึงตัดสินใจศึกษาปรากฏการณ์ดังกล่าว

อย่างไรก็ดีตามรายงานของนิวไซแอนทิสต์ พัทเทอร์แมนยังไม่แน่ใจว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นยังคงเป็นปริศนา แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีกว่า เมื่อเกิดการขัดสีของพื้นผิว 2 อันจะทำให้เกิดประจุบวกและประจุลบ

สำหรับในกรณีนี้เทปกาวจะมีประจุบวก ส่วนแกนพลาสติกจะเป็นประจุลบ ทำให้เกิดความต่างประจุขึ้นจนกระทั่งอิเล็กตรอนกระโดดจากเทปกาวที่ถูกดึงออก ไปยังแถบเทปกาวที่ม้วนอยู่ ซึ่งทำให้เกิดพลังงานมากพอที่จะผลิตรังสีเอกซ์ เมื่ออิเล็กตรอนกระทบกับเทปกาว

" ในอีกมุมหนึ่งเราก็ค่อนข้างกลัวนะ แต่เราก็คิดได้ว่าสก็อตเทปจะปล่อยรังสีเอกซ์ออกมาได้ก็เมื่อใช้ในสภาพ สุญญากาศ เราไม่ต้องการสร้างความตระหนกให้กับผู้คนจากการใช้สก็อตเทปในชีวิตประจำวัน" เอสโคบาร์กล่าว

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


toddler
undress
primary
download-tycoon
kids-online
bedroom
strip
free-printable-romantic-game-ideas
naughty
disney-channel

เทคโนโลยีแบบซีเอ็นเอ็น รายงานสดผ่าน "ฮอโลแกรม"


เจสซิกา เยลลิน รายงานสดการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากชิคาโกถึงห้องส่งของซีเอ็นเอ็นในนิวยอร์ก ผ่านฮอโลแกรม (ภาพ Engadget)

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
อีกมุมหนึ่งในห้องส่ง ที่ดูเหมือนว่าผู้ประกาศกำลังสนทนากับเจ้าของร่าง 3 มิติ (ภาพ Engadget)


ทั้ง 2 คนนี้ไมได้สนทนากันแบบเห็นหน้าค่าตาอย่างที่เราเห็นผ่านจอทีวี (ภาพ Engadget)


การปรากฎกายแบบฮอโลแกรมแบบเจ้าหญิงเลอาในสตาร์วอร์สตามที่ผู้ประกาศซีเอ็นเอ็นอ้างถึง


งาน นี้โดนแซวไม่น้อยโดยวูล์ฟ บลิตเซอร์ผู้ประกาศในห้องส่ง กับ เจสซิกากำลังถูกล้อเลียนว่าเป็นเจ้าหญิงเลอาและเจได (ภาพ Jake Turcotte/CSMonitor)

ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย กับการเลือกตั้งครั้งล่าของอเมริกา เพราะได้สร้างเซอร์ไพรซ์หลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเทคโนโลยีแล้ว "ซีเอ็นเอ็น" ออกมาประกาศครองความเป็นเจ้าด้วยการใช้ "ฮอโลแกรม" ยิงภาพ 3 มิติรายงานข่าวกันเลยทีเดียว

ระหว่างที่กำลังรอลุ้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาใน ปี 2008 นี้ ซึ่งแม้ว่า "บารัค โอบามา" จะได้ชัยชนะเหนือ "จอห์น แมคเคน" แต่การนับคะแนนก็ยังไม่จบสิ้น คงต้องรอผลอย่างเป็นทางการต่อไป

ทว่าสำหรับ "ผู้จัดการวิทยาศาสตร์" แล้ว สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ การรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น (CNN) แห่งสหรัฐฯ ที่อ้างว่ามีความพยายามใช้เทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าใครๆ

ความไม่ธรรมดาปรากฎขึ้น เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับช่วงค่ำวันที่ 4 พ.ย.เวลาสหรัฐฯ ผู้ประกาศประจำห้องส่งของซีเอ็นเอ็น กำลังทำหน้าที่รายงานข่าวคราวการเลือกตั้งครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ (และของโลก) และเป็นธรรมดาที่จะต้องมีภาพของผู้สื่อข่าวที่ประจำอยู่ตามจุดต่างๆ ในลักษณะถ่ายทอดสดกลับเข้ามา

แต่วันนี้ เจสซิกา เยลลิน (Jessica Yellin) รายงานสดจากชิคาโก ผ่าน "ฮอโลแกรม" (Hologram) แถมด้วย วิล.ไอ.แอม (Will.I.Am) แห่งวงแบล็ก อายด์ พีส์ ก็โผล่มาแบบ 3 มิติให้สัมภาษณ์สดๆ ในฐานะผู้สนับสนุนโอบามา

นี่คือเทคโนโลยีที่คอหนังหนังไซ-ไฟคุ้นเคยเป็นอย่างดี ประหนึ่งฉากเจ้าหญิงเลอาแห่งสตาร์วอร์ส กำลังสนทนากับลุค สกายวอล์เกอร์ ตัวเอกของเรื่องผ่านฮอโลแกรม แต่ที่เห็นผ่านหน้าจอครั้งนี้คือการรายงานผลการเลือกตั้งแบบสดๆ จริงๆ

แล้วซีเอ็นเอ็นทำได้อย่างไร?

งานนี้โอลิเวอร์ เบิร์กแมน (Oliver Burkeman) ผู้สื่อข่าวของเดอะการ์เดียนแห่งอังกฤษ ซึ่งเกาะติดการเลือกตั้งสหรัฐฯ ได้เขียนบันทึกลงไดอารีออนไลน์ ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังการเตรียมรายงานข่าวเลือกตั้งของซีเอ็นเอ็นก่อนวัน จริง โดยระบุว่า การรายงานข่าวครั้งนี้ จะเป็นสิ่งที่เยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา

"แทน ที่จะแบ่งหน้าจอสลับคนละครึ่ง ระหว่างห้องส่งกับผู้ที่ถูกสัมภาษณ์อยู่ภาคสนาม หรือที่อื่นๆ อย่างที่เห็นกันปกติทั่วไป แต่โฆษกประจำตัวของโอบามาจะปรากฎในลักษณะ 3 มิติผ่านฮอโลแกรม อีกทั้งซีเอ็นเอ็นยังมีแผนสัมภาษณ์ผู้แทนของแมคแคนในลักษณะเดียวกันนี้" เบิร์กแมนว่าไว้ก่อนวันยิงเทคโนโลยีจริง

เบิร์กแมนบอกว่า ซีเอ็นเอ็นได้วางแผนเตรียมกล้องบันทึกภาพวิดีโอความละเอียดสูง 44 ตัว (HD camera) ประจำไว้ที่ชิคาโกและแอริโซนา และส่งภาพต่างๆ ผ่านคอมพิวเตอร์ 20 เครื่อง เพื่อประมวลผลให้ได้ภาพผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ออกมา 360 องศา ส่งถึงห้องส่งในนิวยอร์ก เพื่อให้ผู้ประกาศในห้องส่งสัมภาษณ์

ในส่วนของรายละเอียดของการสร้างภาพเหมือนผู้สื่อข่าว 3 มิตินั้น กิซโมโด (gizmodo.com) อธิบายว่า ที่ภาคสนามซึ่งต้องส่งภาพผู้สื่อข่าวหรือผู้ถูกสัมภาษณ์เข้ามา ได้ตั้งกล้องวิดีโอความละเอียดสูง 35 ตัว ล้อมวัตถุ (ซึ่งก็คือเจสซิกาและวิล.ไอ.แอม) ในลักษณะล้อมเป็นวงแหวน

ทั้งนี้ ภาพที่บันทึกได้จะต้องเป็นจากมุมต่างๆ ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้ได้ภาพร่างกายของบุคคลผู้นั้นทั้งหมด อีกทั้งกล้องที่บันทึกจะต้องเชื่อมต่อกับกล้องในห้องส่งเพื่อซิงค์เทียบมุมและสัดส่วนของภาพให้ถูกต้องตรงกัน

จากนั้น จะส่งภาพทั้งหมดถึงคอมพิวเตอร์ 20 ตัว เพื่อใช้ประมวลผลภาพที่บันทึกออกมาให้ได้ 3 มิติ

ส่วนนักข่าวภาคสนาม จะได้เห็นภาพของตัวเองผ่าน จอขนาด 37 นิ้ว หลังจากประมวลผลแล้วกลับมา เพื่อให้ได้เห็นภาพของตัวเอง จะได้ตรวจสอบความผิดพลาด อย่างพวกเสื้อผ้าหน้าผม

ส่วนที่ห้องส่งของซีเอ็นเอ็นนั้น ก็ใช้กล้องเพียงแค่ 2 ตัวเพื่อจะบันทึกภาพผู้ประกาศจากห้องส่งออกไปตามปกติ

แม้ว่าในการรายงานครั้งนี้ จะเหมือนว่าผู้ประกาศในห้องส่งได้คุยกับนักข่าวฮอโลแกรม แบบตัวต่อตัว เหมือนในสตาร์วอร์

ทว่าแท้จริงแล้ว ผู้ประกาศไม่ได้มองเห็นทั้งเจสซิกา หรือ วิล.ไอ.แอม เขาก็ยังคงคุยผ่านทางเสียง เหมือนการโฟนอินหรือการสลับหน้าจอปกติ

ส่วนภาพ 3 มิติจากภาคสนามนั้น ใช้คอมพิวเตอร์จัดการให้อยู๋ในเฟรมเดียวกันกับผู้ประกาศในห้องส่งก่อนนำออกอากาศ

เมื่อคอมพิวเตอร์ประมวลผล โดยรวมภาพจากห้องส่งและจากฮอโลแกรมเข้าด้วยกัน ก็จะยิงสัญญาณสู่จอทีวีของเรา แต่สิ่งที่ต้องกังวลอีกขั้นคือสัญญาณฮอโลแกรมที่ได้รับมาจะดีเลย์ ซึ่งต้องอาศัยดาวเทียมเพื่อหน่วงสัญญาณก่อนกระจายเสียงสู่โทรทัศน์ เพื่อผู้ชมจะได้ไม่ทันสังเกตว่ามีการดีเลย์ ระหว่างที่ผู้ประกาศถาม นักข่าวฮอโลแกรมอาจตอบมาช้ากว่า เพราะขั้นตอนของการส่งสัญญาณ

เล่าไปเล่ามาดูเหมือนว่า การ รายงานสดผ่านฮอโลแกรมครั้งแรกแห่งวงการโทรทัศน์ตามที่ซีเอ็นเอ็นอ้างครั้ง นี้ ได้ผ่านการตัดและต่อ ก่อนถึงสายตาเราๆ ท่านๆ ไม่ได้สมบูรณ์เหมือนในภาพยนตร์สตาร์วอร์ แต่อย่างใด จึงทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า นี่อาจจะไม่เรียกว่าฮอโลแกรม แต่เป็นเรื่องของเทคนิคการตัดต่อมากกว่า.

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


christmas
racing
free-online
free-mobile
bridal-shower
drivers-ed-game
mobile-game-downloads
preschool-online
romantic
worlds-hardest-game

โฮะๆ..."ซานต้า" มาแล้ว ทำได้ไงแจกของขวัญรอบโลกในคืนเดียว

ภาพประกอบข่าวจากรอยเตอร์แสดงชายแต่งชุดแดงเป็นซานตาคลอสนั่งอยู่บนรถเลื่อนจำลอง

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพประกอบข่าวจากเอพี ชายแต่งตัวด้วยชุดแดงสัญลักษณ์ซานตาคลอสแจกของขวัญให้เด็กๆ

โฮะ โฮะ โฮะ...ขี่เลื่อนแจกของขวัญมาทุกปี แต่ผู้คนยังสงสัย ไม่หายว่า "ซานตาคลอส" ตระเวรแจกของขวัญให้เด็กๆ ทั่วโลก ภายในคืนเดียวได้อย่างไร วิศวกรด้านเครื่องกลและอากาศยานจากสหรัฐฯ จึงต้องออกมาเผยแนวคิดเกี่ยวกับ "ความต่อเนื่องของกาล-อวกาศ" เพื่ออธิบายการทำงานของลุงอ้วนใจดีกันอีกปี

จากข้อมูลขอมหาวิทยาลัยนอร์ธคาโรไลนาสเตท (North Carolina State University) สหรัฐฯ ที่เว็บไซต์ฟิสิกส์โออาร์จี (Phyorg.com) ได้นำคำอธิบายของ ดร.ลาร์รี ซิลเวอร์เบิร์ก (Dr.Larry Silverberg) ศาสตราจารย์ทางด้านวิศวกรรมเครื่องกลและอากาศยานของมหาวิทยาลัยดังกล่าว มารายงานโดยอาศัยหลักทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่ทำให้ "ผู้เฒ่าเอลฟ์โจลลี" (Jolly Old Elf) หรือซานตาคลอสสามารถส่งของขวัญนับล้านชิ้นแก่เด็กๆ ทั่วโลกได้ในคืนเดียวเป็นเวลาปีแล้วปีเล่า

ดร.ซิลเวอร์เบิร์กกล่าวว่า ซานตาคลอสและเอลฟ์ขั้วโลกเหนือ (North Pole elves) มีความรู้ทางด้านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ความต่อเนื่องของกาล-อวกาศ (space-time continuum) นาโนเทคโนโลยี พันธุวิศวกรรม และวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ก้าวหน้ายิ่งและล้ำหน้าไปกว่านักวิทยาศาสตร์ในยุค นี้มากๆ

"ซาน ตามีท่อนำส่งส่วนตัว ที่ส่งตรงถึงความคิดเด็กๆ ซึ่งสามารถรับฟังได้ผ่านเทคโนโลยีเสาอากาศ ที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์บันทึกภาพคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ (Electrocardiogram: EKGs) ที่ช่วยให้ข้อมูลว่าเด็กๆ ในแต่ละพื้นที่ต้องการของขวัญอะไรบ้าง" ดร.ซิลเวอร์เบิรกอธิบาย

"ระบบกรองสัญญาณข้อมูลแบบบิดเบือน ช่วยให้ข้อมูลแก่ซานตาว่า ใครต้องการอะไร เด็กๆ อาศัยอยู่ที่ไหน และแม้กระทั่งข้อมูลว่าใครนิสัยดีหรือไม่ดี จากนั้นข้อมูลเหล่านี้ จะถูกประมวลบนระบบนำทางเลื่อนลอยฟ้า ซึ่งจะนำส่งซานตาคลอสได้อย่างมีประสิทธิภาพ" ดร.ซิลเวอร์เบิรกกล่าว แต่ก็เพิ่มเติมการส่งจดหมายธรรมดาๆ ถึงซานตาคลอสก็ยังคงได้ผลอยู่

ขณะเดียวกัน ดร.ซิลเวอร์เบิร์กก็ไม่ได้มองอย่างซื่อๆ ว่า ซานตาคลอสและกวางเรนเดียร์จะเดินทางกินอาณาบริเวณร่วม 500 ล้านตารางเมตร เพื่อหยุดแจกของของขวัญให้แก่เด็กๆ กว่า 80 ล้านหลังคาเรือนได้ภายในคือเดียว แต่เขาเชื่อว่าซานตาคลอสจะใช้ความรู้เกี่ยวกับ "ความต่อเนื่องของกาล-อวกาศ" เพื่อสร้างสิ่งที่เขาเรียกขึ้นเองว่า "หมู่เมฆสัมพัทธภาพ" (relativity clouds)

"โดย พื้นฐานความรู้เชิงประยุกต์ทางด้านทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทำให้ซานตารู้ว่า "เวลา" สามารถยืดขยายได้ เช่นเดียวกับหนังยาง ส่วนอวกาศหรือที่ว่างก็สามารถบิดได้เหมือนคั้นน้ำส้ม และเวลาก็สามารถบิดงอได้ ทั้งนี้ หมู่เมฆสัมพัทธภาพเป็นเขตแดนที่ควบคุมได้ ตัดแบ่งเวลาได้ ซึ่งช่วยให้ซานตามีเวลาเป็นเดือน ที่จะส่งของขวัญในเวลาไม่กี่นาทีบนโลกได้ และของขวัญแต่ละชิ้นถูกส่งด้วยเวลาแค่เพียงพริบตา" ดร.ซิลเวอร์เบิร์กกล่าว

ด้วยรายละเอียดเส้นทาง ที่เตรียมไว้และรายการที่ได้รับการตรวจทานถึง 2 รอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งบนเลื่อนลอยฟ้าอันล้ำด้วยเทคโนโลยี ช่วยให้ซานตาคลอสพร้อมส่งของขวัญ ส่วนกวางเรนเดียร์ก็ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมให้สามารถบินได้ และลงจอดอย่างสมดุลได้บนหลังคาบ้านเด็กๆ อีกทั้งยังมองเห็นได้ดีในที่มืด

จริงๆ แล้วกวางของลุงซานตาไม่ได้ลากเลื่อนที่เต้มไปด้วยของขวัญแต่อย่างใด หากแต่ของขวัญแต่ละชิ้น จะผลิตขึ้นที่บ้านของเด็กๆ เอง ด้วยเครื่องผลิตของเล่นนาโน (nano-toymaker) ที่ช่วยให้ของขวัญโตขึ้นระดับอะตอมขึ้นมา เช่นเดียวกับการทำงานของดีเอ็เอ ที่ออกคำสั่งให้วัตถุอินทรีย์อย่างเนื้อเยื่อและอวัยวะในร่างกายเติบโตด้วย ตัวเอง

อีกทั้งไม่จำเป็นเลย ที่ซานตาคลอสจะต้องเข้าสู่บ้านผ่านทางปล่องไฟ แม้ว่า ดร.ซิลเวอร์เบิร์กจะลงความเห็นว่า ซานตายินดีที่จะทำเช่นนั้นบ่อยครั้ง และหมูเมฆสัมพัทธภาพที่ช่วยให้ซานตาส่งของขวัญได้เพียงชั่วพริบตานั้น ยังนำไปใช้ในการเคลื่อนย้ายภาพของซานตาให้ปรากฎอยุ่ในบ้านของผู้คนอีกด้วย

ท้ายที่สุด หลายคนอาจส่งสัยว่าซานตาคลอสและกวางเรนเดียร์จะกินอาหารที่แต่ละบ้านทิ้งไว้ ให้หมดได้อย่างไร ด็อกเตอร์แห่งนอร์ธคาโรไลนาสเตทให้ความเห็นว่า ลุงอ้วนผู้ใจดีเพียงแค่เล็มๆ แล้วทิ้งส่วนที่เหลือไว้ในบ้านแต่ละหลัง หรืออาจจะเก็บเข้าในช่องเก็บอาหารบนเลื่อนไฮเทค เพื่อตุนไว้เป็นเสบียงในอนาคต สำหรับการส่งของขวัญที่ยาวนานหลังจากนั้น

" นี่คือความเห็นของเรา เกี่ยวกับการส่งของขวัญของซานตา ด้วยวิศวกรรมและกายภาพ ที่เราพบเห็นอยู่ในปัจจุบัน เด็กๆ ไม่ควรยอมรับในความคิดว่า "มันเป็นไปไม่ได้ ที่จะส่งของขวัญไปทั่วโลกได้ในคืนเดียว" มากเกินไป มันเป็นไปได้ และเป็นไปได้บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุมีผล" ดร.ซิลเวอร์เบิร์กกล่าว.

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


ps2-game-cheats
children
the-game
virtual-dating-game
eastenders
disney
games-of-desire
shooting
gps
mobile-phone-download

"เอเลียน" ไม่ต้องตามหาไกล อาจอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เอเลียนอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปแบบต่างไปจากเราอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก (ภาพ NOAA/ บีบีซีนิวส์)

ทะเลสาบโมโนที่คาดว่ามีสิ่งมีชีวิตซึ่งปลดปล่อยสารหนูออกมา (NASA/บีบีซีนิวส์)

"เอเลียน" อาจไม่ได้มีอยู่แค่ต่างดาว นักฟิสิกส์สหรัฐฯ เชื่อ โลกเราน่าจะเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด มีรูปแบบชีวิตและคุณสมบัติทางชีวเคมี ต่างไปจากที่เราคุ้นเคย หลบซ่อนอยู่ข้างๆ เรา ซ้ำยังทดลองสร้าง "เอเลี่ยน" เพื่อดูพัฒนาการ

ศ.พอล เดวีส์ (Prof. Paul Davies) นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยอาริโซนาสเตท (Arizona State University) สหรัฐอเมริกา ให้ความเห็นว่า โลกของเราอาจเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด ที่มีรูปแบบชีวิตต่างไปจากชีวิตที่เรารู้จัก โดยชีวิตแปลกประหลาดเหล่านี้ อาจซ่อนตัวอยู่ในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยสารหนูอันเป็นพิษ หรือน้ำเดือดจากช่องเล็กๆ ที่ระบายความร้อน (hydrothermal vents) ใต้ทะเลลึก

บีบีซีนิวส์รายงานว่า ศ.เดวีส์เสนอความเห็นดังกล่าว ระหว่างการประชุมของสมาคมอเมริกัน เพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (Association for the Advancement of Science: AAAS) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อกลางเดือน ก.พ.52 ที่ผ่านมา ณ เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐฯ

"เราไม่จำเป็นต้องไปดาวอื่น เพื่อหาสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดแต่อย่างใด เราอาจเริ่มต้นจากปลายจมูก หรือแม้แต่ในจมูกของเรานี่เอง มีเหตุผลเป็นไปได้ที่คาดหวังได้ว่า เราจะพบแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิต ที่หลบซ่อนอยู่บนโลกนี่เอง แต่ไม่มีใครบากบั่นที่จะค้นหา คำถามคือทำไมล่ะ? ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงมาก อาจจะเป็นแค่เศษเสี้ยวของเงินที่เราใช้เพื่อค้นหาชีวิตต่างดาวด้วยซ้ำ" ศ.เดวีส์กล่าว

ทั้งนี้ นักฟิสิกส์จากอาริโซนาสเตทเชื่อว่า น่าจะมีวิวัฒนาการของชีวิตบนโลกมานานแล้ว และลูกหลานของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ก็อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ใน "ชาโดว์ไบโอสเฟียร์" (shadow biosphere) หรือแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตที่หลบซ่อนอยู่ และหลุดรอดจากการตรวจจับจากเรดาร์ของเราไปได้ เพราะรูปแบบของชีวเคมีที่แตกต่างจากเรามาก

เขาเชื่อด้วยว่า กล้องจุลทรรศน์ที่มีอยู่นั้น เหมาะสมเฉพาะกับสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จัก จึงไม่มีใครเคยพบจุลินทรีย์ที่มีชีวเคมีต่างไป และอาจก็ไม่อาจคาดเดาหน้าตาของสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดนี้ ซึ่งความเป็นไปได้อันไม่จำกัด ทำให้ยากต่อการตามหา อย่างไรก็ดีเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นน่าจะมีดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอ หากแต่รหัสพันธุกรรม หรือกรดอะมิโนที่มีต่างไปจากที่เราคุ้นเคย

ศ.เดวีส์กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าหนึ่งในธาตุที่ก่อให้เกิดเป็นสิ่งมีีชีวิต อย่างคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส นั้นอาจถูกแทนที่ด้วยธาตุอย่างอื่น แล้วกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างไปจากเราอย่างมาก

“พอผมพูดอย่างนี้ ทุกๆ คนคงคิดถึงสิ่งมีชีวิตที่มีซิลิกอนเป็นองค์ประกอบทันที จากอิทธิพลของหนังเรื่องสตาร์เทรค แต่ผมไม่พูดถึงอะไรที่เป็นนิยายแบบนั้น ยกตัวอย่างเช่น สารหนูซึ่งมีฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบนั้นเป็นพิษต่อมนุษย์ แต่อาจเป็นโครงสร้างของจุลินทรีย์ได้" ศ.เดวีส์ระบุ

เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตที่เราไม่เคยพบมาก่อนบนโลกนี้ ศ.เดวีส์แนะนำว่า อย่างแรกเราควรเริ่มจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะต่อการอยู่อาศัย อาทิ ทะเลทราย ทะเลสาบที่เค็มจัด บริเวณที่มีความกดอากาศสูง อุณหภูมิร้อนจัดและมีปริมาณรังสียูวีมาก ซึ่งปฏิบัติการตามล่าหาสิ่งมีชีวิตเอเลียนนี้มีสถานที่มากมายให้ค้นหา

“ยกตัวอย่างเช่น หากเราตามหาสิ่งมีชีวิตที่อิงกับสารหนู เราก็มุ่งหน้าไปยังสิ่่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารหนู และมีปริมาณฟอสฟอรัสต่ำ อย่างในช่องระบายความร้อนใต้ทะเลลึก เป็นต้น" ศ.เดวีส์กล่าว

เขาบอกด้วยว่าที่แคลิฟอร์เนียมีทะเลสาบโมโน (Mono Lake) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีการปนเปื้อนของสารหนูในปริมาณมาก และให้ความเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่อิงต่อสารหนูนั้น สูบสารหนูเข้าสู่ตัวเองแล้วปล่อยออกมา ไม่ใช่หายใจเข้าไป หรืออีกนับหนึ่งสิ่งมีชีวิตรูปแบบดังกล่าวล้วนอยู่รอบๆ ตัวเราและผสานเป็นส่วนหนึ่งของเรา จึงจำเป็นต้องแยกสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นออกมา

อีกวิธีที่จะประเมินได้ว่า มนุษย์ต่างดาว หรือ เอเลียนที่ซ่อนอยู่ในโลกของเรานั้นหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น ศ.สตีเฟน เบนเนอร์ (Prof.Steven Benner) จากมหาวิทยาลัยฟลอริดา (University of Florida) บอกว่า คือ การสร้างสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นขึ้นมาจากห้องปฏิบัติการด้วยตัวของเราเอง โดยเขาและทีมได้ร่วมกันสร้างสิ่งที่ใกล้เคียงกับรูปแบบของสิ่งมีชีิวิต ที่สร้างโดยมนุษย์ขึ้นมา

แม้ว่าสิ่งที่ทีมวิจัยของ ศ.เบนเนอร์สร้างขึ้นมาจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการป้อนอาหารของนักศึกษาที่ร่วม ทีม แต่สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นก็มีวิวัฒนาการ โดยได้เปลี่่ยนแปลงเกลียวคู่ของดีเอ็นเอ จากรหัสพันธุกรรมของเราที่มี 4 ตัว ไปเป็นรหัสพันธุกรรมที่มี 6 ตัว และทำสำเนาซ้ำได้ ด้วยเอนไซม์พอลิเมอเรสและความร้อนโดยธรรมชาติ

ส่วนงานขึ้นต่อไปคือการสร้างปัจจัยเพื่อให้การคัดเลือก โดยการเลือกภาวะกดดันให้กับสิ่งที่พวกเขาสร้างขึนมา

อย่างไรก็ดี เขาได้ตั้งคำถามการนิยามถึงการมีชีวิตของคนเราเป็นมุมมองที่ยึดโลกเป็นศูนย์กลางมากเกินไป

“จำ ไว้ว่า เพียงเพราะคุณคือระบบสารเคมีที่มีความมั่นคงในตังเอง และมีการวิวัฒนาการตามทฤษฎีของดาร์วิน นั่นไม่ได้หมายความว่า เป็นคำนิยามสิ่งมีชีวิตของเอกภพ" ศ.เบนเนอร์ให้ความเห็น


ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


car
helicopter-game
freeware
watch-ncaa-online
pc
party
drinking
play
download-free-computer
free-driving